เคยสงสัยมั้ย? ว่าลูกค้าติดต่อมาจากบทความ seo จริงมั้ย? last click ช่วยบอกได้รึเปล่า? เกี่ยวกับ customer journey seo ของลูกค้า แล้ว customer journey คืออะไร? เดี๋ยวคุณได้รู้! นี่เป็นข้อมูลที่คุณควรรู้เอาไว้ จะได้เข้าใจเหตุผลที่ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อเพราะอะไร? บางทีลูกค้าก็ใจบาง อยากหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยสินค้าตัวนั้นอยู่แล้ว อาจตัดสินใจซื้อทันที! แต่ลูกค้าบางคนที่ติดต่อมาซื้อ อาจจะไม่ได้ติดต่อจากบทความ seo โดยตรง แต่เขาทำอะไรก่อน? แล้วทำไมถึงตัดสินใจซื้อ? ห้ามพลาด! รีบหาเวลามาทำความเข้าใจ! sitetion and seo จะพาคุณไปรู้ลึกเรื่องนี้เอง!
customer journey seo คืออะไร?
คุณรู้มั้ยว่า? ลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้าทันทีหลังอ่านบทความ seo แล้วพวกเขาหายไปไหน? ตามไปรู้จักกับ customer journey seo กัน นี่คือคำตอบที่คุณมองหา! customer journey คือ สิ่งต่างๆ ที่ลูกค้าเลือกทำรวมถึงเส้นทางทั้งหมดก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ! แต่ก่อนที่คุณจะไปรู้ข้อมูลเหล่านี้ คุณคิดว่าตัวเองเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าออนไลน์ดีแค่ไหน? แล้วคุณมีความเชื่อในตอนนี้ยังไง? ส่วนนี่คือเหตุผลที่อยากเปิดเผยให้คุณฟังว่าทำไม? บางทีลูกค้าเข้ามาอ่านบทความ seo แล้ว แต่ยังไม่ซื้อหรือไม่มีการคลิกบทความเลย เช่น
- ลูกค้าในวันนี้เขาอาจอ่านบทความ seo จบ แล้วเขายังไม่ซื้อ แต่อาจจะจดจำชื่อเว็บไซต์เอาไว้ แล้วค่อยตัดสินใจซื้อวันอื่น ด้วยการพิมพ์เข้าสู่หน้าแรกของเว็บไซต์โดยตรง!
- บางทีลูกค้าก็อาจเลือกเสิร์ชชื่อเว็บไซต์ที่เขาสนใจบน google เพื่อหาข้อมูลก่อนซื้อ! จึงไม่ได้ตามลิงก์ที่วางไว้ในบทความ seo
- บางครั้งก็อาจเข้าไปดูข้อมูลหน้าเพจเฟซบุ๊กก่อน แล้วคอยติดตามข่าวสารอยู่เรื่อยๆ จนตัดสินใจได้ชัดเจน จึงค่อยติดต่อผ่านช่องทางการติดต่ออื่นๆ เพื่อใช้บริการ
- ไม่แน่เสมอไปว่า ลูกค้าอ่านบทความ seo ที่หน้าเว็บไซต์จบ! แล้วจะเลือกซื้อตาม link ในบทความ! อาจมีการบุ๊คมาร์กหน้าแรกของเว็บไซต์ไว้ก่อน แล้วค่อยๆ ใช้เวลาศึกษาข้อมูลสินค้าและบริการ บางคนอาจใช้เวลาตัดสินใจนาน ดูข้อมูล 2-3 วัน หรือเป็นอาทิตย์ ถึงกล้าตัดสินใจซื้อ!
- ลูกค้าบางคนอาจเลือกเข้าไปดูข้อมูลในเพจหรือหน้าโซเชียลต่างๆ และชอบ dm ผ่านหน้าเพจ เพื่อสั่งซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ ลูกค้าไม่ได้ซื้อจากบทความ seo หน้านั้นทันที!
- ลูกค้าบางคนอ่านบทความ seo ที่แนะนำสินค้าหรือบริการจบ! รู้สึกชอบและเชื่อ! แต่ยังไม่พร้อมซื้อ! แต่อาจแคปหน้าจอข้อมูลสินค้าไว้และบันทึกข้อมูลการติดต่อเอาไว้ เมื่อพร้อมจึงติดต่อไปตามช่องทางติดต่อในภายหลัง!
ไปส่อง customer journey seo แบบซับซ้อนกัน? จะได้รู้ว่าลูกค้าที่ได้ มาจากบทความ seo จริงมั้ย?
บทความ seo ช่วยสร้างความชอบ, ความเชื่อและให้ข้อมูลที่จำเป็นกับลูกค้า! แต่คุณจะรู้ได้ยังไง? ว่าลูกค้ามาจากบทความ seo จริงมั้ย? สำหรับ customer journey seo อาจไม่สามารถชี้วัดได้แบบ 100% ว่าลูกค้ามาจากบทความไหน? เพราะบางทีลูกค้าก็ใช้เวลาอ่านบทความ seo ที่เชื่อมโยงกันไปหมด! จนครบทั้งหมด! เพื่อให้เกิดความมั่นใจก่อน แล้วจึงตัดสินใจเลือกซื้อ! แต่จะซื้อผ่านช่องทางไหน? ใครจะรู้? แล้วถ้าลูกค้าซับซ้อนแบบนี้ คุณจะมีโอกาสรู้มั้ย? ว่าลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการจากบทความ seo บนเว็บไซต์คุณ ตามไปดูข้อมูลพร้อมๆ กันกับ sitetion and seo!
customer journey seo ที่ซับซ้อนของลูกค้าก่อนตัดสินใจซื้อ
ความจริงที่ต้องยอมรับ คือ ลูกค้าไม่ได้ซื้อจากบทความ seo โดยตรงเสมอไป เส้นทางการตัดสินใจซื้อของลูกค้า (customer journey seo) นั้นซับซ้อนและมีหลายขั้นตอนก่อนจะกลายเป็นยอดขาย ดังนี้
1. customer journey seo ที่เกิดจากการตัดสินใจซื้อทันทีจากบทความ
ถ้าเจอนักเขียนที่เข้าใจลูกค้า เขียนบทความ seo ให้ลูกค้าอ่านบทความจบแล้วซื้อทันที! มีอยู่จริง! อาจด้วยเนื้อหาตรงประเด็น, สื่อสารตรงกับปัญหาชีวิตที่เป็นอยู่หรือลูกค้าต้องการสินค้าหรือบริการนั้นอยู่แล้วแบบเร่งด่วน! เมื่อเจอบทความที่ใช่และเขียนได้ถูกใจ! ก็อาจตัดสินใจตามไปซื้อผ่านลิงก์ในบทความทันที! ซึ่งกรณีแบบนี้อาจมีไม่บ่อย แต่เหตุผลที่พวกเขาซื้อง่าย อาจเพราะเหตุผลดังนี้
- เขาอาจเปรียบเทียบข้อมูลมาจากหลายเว็บไซต์แล้ว
- บทความของคุณให้ข้อมูลชัดเจนและน่าเชื่อถือ!
- ราคาและข้อเสนอถูกใจ! ทำให้ตัดสินใจได้ทันที!
- ลิงก์ชัดเจนและง่ายต่อการคลิกไปซื้อหรืออาจเพิ่มข้อมูลติดต่อเก็บเอาไว้ก่อน
2. customer journey seo ที่เกิดจากการจดจำชื่อแบรนด์ แล้วค่อยกลับมาภายหลัง
เหตุผลว่าทำไมบางครั้งคุณเห็น direct traffic (การเข้าชมโดยตรง) ของเว็บไซต์เพิ่มขึ้นหลังทำ seo! เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อทันที แต่เลือกที่จะ
- อ่านบทความ seo จบและจดจำชื่อแบรนด์หรือเว็บไซต์ของคุณเอาไว้ก่อน
- เมื่อพร้อมตัดสินใจ จะค้นหาชื่อแบรนด์คุณใน google อีกครั้ง
- เข้าเว็บไซต์โดยตรงแทนที่จะผ่านบทความเดิม
3. customer journey seo ที่เกิดจากการศึกษาเว็บไซต์ทั้งหมดก่อนตัดสินใจ
ลูกค้าอีกกลุ่มที่ศึกษาทุกอย่างบนเว็บไซต์ก่อนซื้อ คือ คนที่ต้องการความมั่นใจมากขึ้น!
- หลังอ่านบทความ seo พวกเขาจะไม่คลิกที่ลิงก์ขาย
- แต่จะเข้าไปดูหน้าหลักของเว็บไซต์เพื่อศึกษาว่าคุณเป็นใคร
- จะตรวจสอบผลิตภัณฑ์ทั้งหมด หน้าเกี่ยวกับเราและรีวิวอื่นๆ
- และบุ๊คมาร์กหน้าแรกเอาไว้ เพื่อศึกษาข้อมูล อาจใช้เวลานานในการตัดสินใจ 2-3 วัน หรือเป็นสัปดาห์ ก่อนตัดสินใจซื้อ!
4. customer journey seo ที่เกิดจากการตามดูทุกโซเชียลมีเดียก่อน
หลายคนต้องการรู้จักแบรนด์ทุกแง่ทุกมุมและชื่นชอบการใช้โซเชียลมีเดีย! จึงเลือกซื้อผ่านช่องทางที่ไม่ใช่หน้าเว็บไซต์
- พวกเขาอ่านบทความของคุณแล้วชื่นชอบ
- ก่อนซื้อ จะเข้าไปดูโซเชียลมีเดียของแบรนด์ (โดยเฉพาะเฟซบุ๊ก)
- ติดตามโพสต์และกิจกรรมของแบรนด์ระยะหนึ่ง
- เมื่อพร้อมซื้อ อาจติดต่อผ่านแชตเฟซบุ๊กหรือไลน์ oa ที่กำหนดไว้
5. customer journey seo ที่เกิดจากการเชื่อมโยงทุกช่องทางออนไลน์
เพราะบางทีลูกค้าก็ต้องได้รับการกระตุ้นผ่านโฆษณาและนี่จึงเป็นเหตุผลว่าลูกค้าไม่ได้ซื้อผ่านบทความ seo
- พวกเขาอ่านเจอบทความบนหน้าเว็บไซต์คุณ จนเกิดความรู้สึกเชื่อ!
- พวกเขาตามไปอ่านในโซเชียลทุกช่องทางที่คุณมีและทำให้พวกเขาชอบ!
- สุดท้ายพวกเขาอาจตัดสินใจเลือกซื้อผ่านโฆษณาที่คุณได้ลงเอาไว้ แต่แน่นอนว่าบทความ seo แม้ไม่ได้ปิดการขายให้คุณโดยตรง แต่ช่วยลดค่าโฆษณาและเพิ่มอัตราการปิดการขายในช่องทางอื่นให้กับคุณได้มากขึ้นแน่นอน!
วิธีเช็ก customer journey seo ว่าลูกค้ามาจากบทความ seo ของคุณจริงมั้ย?
ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ! มากกว่า 70 % ลูกค้าที่ติดต่อคุณผ่านช่องทางอื่น อาจเคยอ่านบทความ seo ของคุณมาก่อน แต่คุณจะรู้ได้ยังไง? sitetion and seo ได้รวมวิธีมาให้คุณแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ผลลัพธ์ 100% แต่คุณก็สามารถตรวจสอบได้ว่าลูกค้ามาจากที่ไหน? ใช่คนที่มาจากบทความ seo บทนี้มั้ย? ดูตามวิธีดังนี้
1. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ช่วยเช็ก customer journey seo
- google analytics : ตั้งค่าการติดตามเป้าหมาย (goal tracking) และติดตาม customer journey seo ของลูกค้า
- google search console : ดูว่าคีย์เวิร์ดไหน? นำทราฟฟิกมาที่บทความ
- attribution models : ช่วยวิเคราะห์ลูกค้าได้อย่างมือโปรแบบ multi-touch คุณจะได้รู้ว่าลูกค้ากลับเจอคุณจากช่องทางไหนบ้างก่อนตัดสินใจซื้อ (conversion)
2. customer journey seo กับการใช้ utm parameters ในการตามรอยลูกค้า
ลิงก์ในบทความ seo ที่มีพารามิเตอร์ utm (โค้ดพิเศษต่อท้ายลิงก์) จะช่วยให้คุณติดตามลูกค้าได้ว่ามาจากที่ไหน?
ส่วนประกอบการทำงานของ utm parameters
utm parameters เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากในการติดตาม แต่ควรใช้ร่วมกับวิธีการอื่นๆ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์ของ customer journey seo
จากตัวอย่างลิงก์ https://website
name
.com/
post-title
?
utm_source
=blog&
utm_medium
=content&
utm_campaign
=seo-article-name
(
หมายเหตุ ส่วนที่ตามหลังเครื่องหมาย
?
จะเป็นจุดวาง
utm
เช่น
https://
ชื่อเว็บไซต์
.com/
ชื่อเรื่อง
?utm_source=
google
)
แล้วแต่ละส่วนบอกอะไรบ้าง
?
utm_source
=blog
: บอกว่าลิงก์นี้มาจากบล็อกของคุณutm_medium
=content
:
utm_campaign
=seo-article-name
:
- เพิ่มเติมยังมีส่วนของ utm
_
content และ utm_term ด้วย ที่ใช้แยกแยะได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น!
customer journey seo กับ utm parameters ในกรณีลูกค้าดูบทความ seo แล้วคลิกไปที่หน้าแรก
หากคุณใส่ utm parameters ในทุกลิงก์ของบทความ seo (รวมถึงลิงก์ไปหน้าแรกด้วย) คุณจะสามารถติดตามได้ว่าลูกค้าคลิกจากบทความนี้ ไปที่หน้าใดบ้าง? ลองนึกภาพตามว่า ถ้าสมมติคุณเขียนบทความเรื่อง “วิธีดูแลผิวหน้าแห้งในหน้าหนาว” และอยากรู้ว่าใครอ่านบทความนี้ แล้วคลิกไปที่หน้าร้านค้าของคุณ? สิ่งนี้จะช่วยให้คุณตามรอยลูกค้าได้ว่า เขามาจากไหน? ถึงได้มาหยุดที่การซื้อสินค้าคุณ! แล้วบทความ seo อันไหนกันแน่? ที่ช่วยสร้างยอดขายให้กับคุณได้ดีที่สุด!
- ตัวอย่างลิงก์ในบทความที่นำไปหน้าสินค้า
https://skincareshop.com/products?utm_source=winter-skin-article&utm_medium=content-link&utm_campaign=dry-skin-solutions
เมื่อมีคนคลิกลิงก์นี้ คุณจะเห็นใน google analytics ว่า - มาจากบทความไหน (winter-skin-article)
- คลิกจากส่วนไหนของบทความ (content-link)
- เป็นส่วนของแคมเปญอะไร (dry-skin-solutions)
หมายเหตุ การติดตาม customer journey seo ของผู้ใช้ใน google analytics คุณสามารถดู user flow หรือ behavior flow เพื่อดูว่าหลังจากเข้ามาอ่านบทความ seo ผู้เยี่ยมชมมีการเคลื่อนไหวยังไงในเว็บไซต์คุณ?
วิธีตรวจสอบ customer journey seo กรณีลูกค้าออกจากเว็บไซต์แล้วกลับมาใหม่
คำถามสำคัญคือ ถ้าลูกค้าออกจากหน้าเว็บไซต์ไปแล้ว จากนั้นเขาค่อยกลับมาซื้อในภายหลัง คุณจะรู้ customer journey seo ได้ยังไง? ตามไปดู 3 วิธีหลัก ที่ช่วยให้คุณไม่พลาดข้อมูลสำคัญ ดังต่อไปนี้
- การติดตั้ง (cookies&tracking pixels) : บนหน้าเว็บไซต์ คุกกี้และพิกเซลติดตามจะช่วยจดจำว่าคนๆ นี้เคยเข้ามาอ่านบทความแล้ว (แต่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาและถ้าเขาลบคุกกี้ทิ้งไปก็จะติดตามต่อไม่ได้)
- การวิเคราะห์ผู้ใช้ที่กลับมา (returning users) : ด้วย google analytics สามารถแยกแยะระหว่างคนใหม่กับคนเก่าที่กลับมาได้ ทำให้คุณเห็นว่ามีคนกลับมาที่เว็บไซต์หลังจากอ่านบทความ seo ของคุณแล้วหรือยัง?
- การติดตามการแปลงผ่านหลายช่องทาง (multi-channel funnel) : google analytics มีรายงาน conversion ที่แสดงให้เห็นว่าลูกค้าเจอคุณจากช่องทางไหนก่อนบ้าง?
เทคนิคเพิ่มเติมในการติดตามลูกค้าผ่าน utm parameters
หากคุณต้องการยกระดับการติดตามลูกค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น! คุณไม่ควรพลาดเทคนิคเหล่านี้
1. ใช้ campaign url builder ของ google : เครื่องมือนี้จะช่วยคุณสร้าง utm parameters ได้แบบง่ายๆ โดยไม่ต้องพิมพ์เองและไม่ต้องกลัวผิด เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ไม่ต้องใช้เทคนิคมาก
2. สร้างระบบการใช้ utm ที่สม่ำเสมอ : กำหนดรูปแบบการตั้งชื่อที่ชัดเจนสำหรับ campaign, source และ medium เพื่อให้ข้อมูลสอดคล้องกัน! เหมาะกับธุรกิจที่มีบทความหลายบทและต้องการความเป็นระบบในการวิเคราะห์ข้อมูล!
3. ใช้ event tracking ร่วมด้วย : นอกจาก utm parameters แล้ว คุณยังสามารถติดตาม events เช่น การคลิกปุ่ม, การดาวน์โหลดหรือการดูวิดีโอในบทความได้ ช่วยให้คุณติดตามลูกค้าได้อย่างละเอียดเหมาะกับธุรกิจที่มีการตอบโต้กับลูกค้าหลายรูปแบบ!
4. เชื่อมโยงกับ crm หรือระบบขาย : หากเป็นไปได้ ให้เชื่อมโยงข้อมูลการติดตามกับระบบ crm เพื่อให้เห็นว่าลีดหรือลูกค้าที่มาจากบทความ seo เฉพาะเรื่อง จะทำให้คุณเห็นชัดว่ามีอัตราการซื้อสูงแค่ไหน? เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก!
ข้อจำกัดที่ควรรู้ utm parameters
ระวัง! utm parameters มีข้อจำกัดที่คุณต้องรู้!
- utm parameters จะไม่ติดตาม เมื่อลูกค้าพิมพ์ url เข้ามาเองโดยตรง
- หากลูกค้าปิดการใช้ javascript หรือใช้เครื่องมือบล็อกการติดตาม จะไม่สามารถติดตามได้!
- มีข้อจำกัดในการติดตามระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ (cross-device tracking) เช่น หากลูกค้าเคยดูบทความ seo บนมือถือมาแล้ว แต่กลับเลือกซื้อผ่านคอมพิวเตอร์! แบบนี้คุณจะติดตามลูกค้าไม่ได้!
3. สร้าง landing page สำหรับแต่ละบทความโดยเฉพาะ
อีก 1 เทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเพิ่มยอดขายควบคู่ไปกับ customer journey seo คือ การสร้างหน้าเลนดิ้งเพจ! สำหรับแต่ละบทความ seo ของคุณ แทนที่จะลิงก์ไปที่หน้าผลิตภัณฑ์ทั่วไป ให้สร้างหน้าเลนดิ้งเพจก่อน ซึ่งแต่ละบทความจะช่วยให้คุณรู้ชัด ว่าลูกค้ามาจากบทความไหน? แนะนำคุณลองทำแบบนี้!
- สร้างบทความที่มีข้อความต้อนรับชัดเจน เชื่อมโยงกับเนื้อหาบทความ เช่น เขียนบทความ seo เรื่อง “5 วิธีดูแลผิวแห้งแตกในหน้าหนาว” แล้วให้ทำข้อความต้อนรับบนหน้า landing page ว่า “ยินดีต้อนรับเข้าสู่วิธีแก้ปัญหาผิวแห้งแตกในหน้าหนาว (แล้วก็เขียนรายละเอียดต่างๆ…ต่อด้วย) ตามที่คุณอ่านในบทความนี้ คุณจะรู้ได้ว่ามอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของ ceramide และ hyaluronic acid คือ กุญแจสำคัญในการปลดล็อกผิวสวย เราอยากให้คุณได้รู้จักกับผลิตภัณฑ์ abc ที่มีส่วนผสมทั้งสองชนิดนี้และรับสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่อ่านบทความนี้เท่านั้น รับส่วนลด 15% และตัวอย่างทดลองฟรี!”
- หรืออาจมีการให้โค้ดคูปองเฉพาะสำหรับบทความ seo นั้นๆ เช่น “พิมพ์ 111 ผ่านแชตไลน์ เพื่อรับโปรโมชันราคาพิเศษ!” หรือ “winter10 เพื่อรับส่วนลด 10%” (ซึ่งโค้ดเหล่านี้จะมีแค่ในบทความ seo บทนี้เท่านั้น) ถ้าลูกค้าที่ทักแชตเข้ามาทางไลน์พิมพ์ 111 จะทำให้คุณรู้ว่ามาจากบทความใด? หากคุณไม่มีไอเดียการเขียนโค้ดคูปองต่างๆ สามารถรับ ebook ฟรีจาก sitetion and seo กับ “100 เทคนิคดึงคนเข้าไลน์ด้วยวิธี Foot in the Door สำหรับธุรกิจความงาม”! หรือแอดไลน์ @737lisrt (มี@ ด้วย) แล้วพิมพ์ “111”
- มีเครื่องมือที่ระบุแหล่งที่มาโดยอัตโนมัติ เช่น ใช้เว็บไซต์ย่อลิงก์แบบ short url ที่มีระบบการติดตามในตัว
4. ถามลูกค้าโดยตรง (แบบแนบเนียน)
บางทีวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือการถามลูกค้าโดยตรง เช่น
- ตอนชำระเงิน : ให้เพิ่มคำถามว่า “คุณรู้จักเราได้อย่างไร?” เพื่อให้ระบบเก็บข้อมูลขณะที่ลูกค้าสั่งซื้อ (แต่ในบางครั้งลูกค้าก็อาจตอบมั่วๆ ก็ได้ ดังนั้น ควรทำตัวเลือกให้เลือก จะได้ผลลัพธ์ดีกว่าให้พิมพ์ตอบเอง)
- ในแชต : ให้สอบถามลูกค้าโดยตรง เช่น “อยากรู้ว่าคุณเจอเราได้อย่างไร?”
- ทำแบบสอบถามหลังซื้อ : เพื่อสำรวจความพึงพอใจหลังการซื้อและรวมคำถามเกี่ยวกับแหล่งที่มา
5. สังเกตช่วงเวลาที่มีคอนเวอร์ชัน (conversion)
สิ่งที่ช่วยให้คุณเห็นความสัมพันธ์ระหว่างบทความ seo กับยอดขาย คือ การสังเกตช่วงเวลา! หากคุณเพิ่งเผยแพร่บทความ seo ใหม่ลงเว็บไซต์ แล้วเริ่มเห็นยอดขายเพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ถัดมา นี่อาจเป็นสัญญาณว่าบทความ seo บนหน้าเว็บไซต์คุณ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าและยิ่งเห็นผลชัดเจนขึ้นหากคุณไม่ได้ทำการตลาดใดๆ ร่วมด้วยในช่วงเวลาเดียวกันเลย
เทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพ customer journey seo ด้วยบทความ seo
ถึงตอนนี้คุณอาจจะสงสัยว่า เมื่อรู้วิธีติดตามลูกค้าแล้ว จะทำยังไงให้พวกเขาซื้อมากขึ้น? นี่คือเทคนิคที่จะทำให้ customer journey seo ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด! ให้คุณลองทำแบบนี้
1. ออกแบบ customer journey seo ด้วยการสร้างคลิกที่ชัดเจน
จะวาง cta ไว้ตรงไหนดี? sitetion and seo ขอแนะนำคุณให้จัดวางลิงก์และปุ่ม cta (call-to-action) ในบทความ seo ตามนี้
- วาง cta หลัก ตรงจุดที่ผู้อ่านน่าจะรู้สึกพร้อมมากที่สุด (มักเป็นช่วงต้น, ช่วงกลางและท้ายบทความ) หรือคุณวางไปทั้ง 3 ตำแหน่ง โดยใช้ข้อความแตกต่างกันและติดตามว่าลิงก์ไหนได้รับการคลิกมากที่สุด?
- ใช้ข้อความในปุ่มที่เฉพาะเจาะจงและวางปุ่มไว้ในจุดที่โดดเด่น! เช่น คุณอาจพิมพ์ข้อความในปุ่มว่า “แก้ปัญหา x ของคุณตอนนี้” แทนคำว่า “คลิกที่นี่”
- สร้างลิงก์ที่แตกต่างกันในแต่ละส่วนของบทความและติดตามแต่ละลิงก์ ว่าลิงก์ไหนได้รับการคลิกมากที่สุด?
2. ใช้เทคนิค content cluster ที่เขาฮิตกัน!
นี่คือเทคนิคการสร้างเนื้อหาที่มีโครงสร้างเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ! คุณรู้มั้ยว่า? เว็บไซต์ที่ใช้ content cluster มียอดการค้นหาบน google เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 134% ภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ seo แต่ยังทำให้ผู้อ่านอยู่ในเว็บไซต์นานขึ้นอีกด้วย! ถ้าหากคุณอยากทำบ้าง ควรเริ่มต้นยังไงดี? sitetion and seo ได้นำข้อมูลดีๆ มาให้คุณแล้วนะ!
ภาพรวมโครงสร้าง content cluster
การทำ content cluster ไม่ได้ยากอย่างที่คิด! แค่วางแผนให้ดี เนื้อหาของคุณจะติด seo ได้ดีขึ้นและช่วยให้เว็บไซต์คุณนำทางลูกค้า ให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นอย่างเป็นระบบ! สำหรับการสร้างบทความ seo ให้มีเนื้อหาเชื่อมโยงกัน มีหลักการดังนี้
1. กำหนดหัวข้อบทความหลัก (pillar content)
ให้คิดหัวข้อหลักที่เกี่ยวกับธุรกิจคุณ (อย่าเลือกกว้างไป)
2. สร้างบทความย่อย (cluster content)
ให้คุณสร้างหัวข้อย่อยๆ หรือหัวข้อเล็กๆ ที่เจาะลึกลงไปในแต่ละประเด็น! ที่ผู้คนมักค้นหาเกี่ยวกับเรื่องนี้และมีความเชื่อมโยงกับบทความหลัก
3. ให้วางแผนเขียนบทความ
เมื่อคุณวางแผนเอาไว้ก่อน จะทำให้คุณเห็นภาพชัดขึ้นว่าควรทำอะไรก่อนหลัง? อะไรที่คุณยังไม่ได้ทำและอะไรที่คุณทำแล้ว จากนั้นให้คุณเริ่มต้นเขียนบทความหลัก (pillar content) ก่อน
โดยเขียนให้ครอบคลุมภาพรวมทั้งหมด แล้วค่อยทยอยเขียนบทความย่อย (cluster content)
4. สำคัญ! นี่คือสิ่งที่คุณห้ามลืม!
คุณอย่าลืมวางลิงก์ในทุกบทความ! เพื่อเชื่อมโยงบทความทั้งหมด ให้มีลิงก์เข้าถึงกันในแต่ละบทความ!
ขั้นตอนที่ 1 กำหนดหัวข้อบทความหลัก (pillar content)
- เลือกหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณ (เช่น “การทำ seo สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก”)
- เขียนบทความยาว 2,000-3,000 คำ ที่ครอบคลุมภาพรวมทั้งหมดของหัวข้อนั้น
- ทำให้บทความหลัก (pillar content) นี้ครบถ้วนแต่ไม่ลงรายละเอียดมากเกินไป เพราะจะไปลงรายละเอียดในบทความย่อย (cluster content)
ขั้นตอนที่ 2 สร้างบทความย่อย (cluster content)
- ระบุหัวข้อย่อย 5-7 หัวข้อที่เชื่อมโยงกับบทความหลัก
- เขียนบทความ seo แยกสำหรับแต่ละหัวข้อย่อย (เช่น “วิธีทำวิจัยคีย์เวิร์ด”, “เทคนิคการเขียนบทความ seo”, “การสร้างลิงก์”)
- แต่ละบทความย่อยเจาะลึกประเด็นเฉพาะเรื่อง (ความยาว 1,000-1,500 คำ)
ขั้นตอนที่ 3 เชื่อมโยงเนื้อหาเข้าด้วยกัน
- ใส่ลิงก์จากบทความหลัก (pillar content) ไปยังบทความย่อย (cluster content) ทำทุกบทความ
- ใส่ลิงก์จากบทความย่อย (cluster content) กลับไปยังบทความหลัก (pillar content) เสมอ!
- เชื่อมโยงบทความย่อยที่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกัน เช่น บทความย่อย (cluster content) “วิธีทำวิจัยคีย์เวิร์ด” มีลิงก์ไปหน้าบทความย่อย “เทคนิคการเขียนบทความ seo”
3. ตัวอย่างออกแบบ customer journey seo ด้วย content cluster
สมมุติว่าคุณทำเว็บไซต์ขายผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ให้เริ่มต้นจาก เขียนบทความหลัก (pillar content) ก่อน 1 บท เช่น เขียนบทความ seo เรื่อง “เคล็ดลับแก้ปัญหาผิวแพ้ง่าย, แดง, คันและระคายเคืองแบบตรงจุด!” เสร็จแล้วให้คุณวางแผนทำบทความย่อย (cluster content) ประมาณ 5-7 บทความ โดยต้องมีลิงก์ในบทความย่อยเชื่อมไปหน้าบทความหลักทุกบทความด้วย! สำหรับตัวอย่างบทความย่อยที่แนะนำมี ดังนี้
1. สารก่อการแพ้ในเครื่องสำอางที่ควรระวัง! อ่านฉลากก่อนจะปลอดภัย?
2. วิธีฟื้นฟู skin barrier ที่เสียหาย เมื่อผิวแพ้รุนแรง!
3. สกินแคร์มินิมอลสำหรับผิวแพ้ง่าย! น้อยแต่มาก ผิวดีได้จริง
4. วิธีทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับคนผิวแพ้ง่าย! แบบไม่พังทั้งหน้า!
5. ส่วนผสมธรรมชาติที่ช่วยลดการอักเสบสำหรับผิวบอบบาง!
6. ข้อควรรู้ในเลือกครีมกันแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย!
7. การรักษาสิวอักเสบสำหรับคนผิวแพ้ง่าย ลดอาการระคายเคือง!
4. ประโยชน์ที่ได้จากการออกแบบ customer journey seo ด้วย content cluster
1. ผู้อ่านอยู่หน้าเว็บไซต์นานขึ้น : เมื่อคนอ่านบทความ พวกเขาจะเห็นลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เมื่อเลือกอ่านบทความต่อไป ก็ทำให้คน 1 คน ใช้เวลาบนเว็บไซต์ได้นานกว่า จุดนี้ส่งผลทำให้ google มองว่าเว็บไซต์มีคุณภาพ!
2. google ชอบ : โครงสร้าง content cluster มาก นั่นยังช่วยทำให้ google เข้าใจว่าคุณมีความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้นจริง!
3. ติดตามได้ง่าย : customer journey seo การอ่านของผู้เข้าชมชัดขึ้น เช่น เขาเริ่มอ่านบทความหลักแล้วคลิกไปอ่านบทความย่อยต่อ อีกกี่เรื่อง?
4. วางแผนคอนเทนต์ง่ายขึ้น : คุณวางแผนล่วงหน้าง่ายขึ้น ว่าจะเขียนอะไรต่อไป (วางแผนทำ project planner คลัสเตอร์ของคุณและเช็กว่ายังไม่ได้เขียนหัวข้อไหนบ้าง?)
5. เพิ่มโอกาสเปลี่ยนผู้อ่านเป็นลูกค้า (conversion) : content cluster ช่วยให้คุณสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการได้อย่างเป็นระบบ ตามช่วงต่างๆ ของ customer journey seo ดังนี้
- ผู้อ่านที่อยู่ในช่วงรู้ปัญหาตัวเอง (awareness) : จะได้รับข้อมูลพื้นฐานจากบทความหลัก (pillar content)
- ผู้อ่านที่อยู่ในช่วงพิจารณาเลือก (consideration) : จะได้ข้อมูลเชิงลึกจากบทความย่อย (cluster content)
- ผู้อ่านที่พร้อมตัดสินใจซื้อ (decision) : จะได้รับข้อมูลเปรียบเทียบหรือบทความรีวิวที่ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น จนเกิดความเชื่อใจและทักไปสั่งซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็ว! (ถ้าคุณมีข้อมูลทั้งหมดครบที่เพียงต่อการตัดสินใจและไม่เหมือนกับเจ้าอื่น! เท่ากับคุณขายดีทุกอย่าง!)
5. เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับ content cluster ให้ได้ประสิทธิภาพ
- อัปเดตบทความหลัก (pillar content) ทุกครั้งที่เพิ่มบทความย่อย (cluster content) โดยอัปเดตในส่วนการเชื่อมโยงลิงก์จากหน้าหลักไปหน้าย่อย
- ติดตามว่าบทความไหนในคลัสเตอร์ที่มีคนอ่านมากที่สุด เพื่อวางแผนคอนเทนต์ต่อไป
- สร้างหน้า “สารบัญ” ที่รวมลิงก์ทุกบทความในคลัสเตอร์เดียวกัน
6. customer journey seo กับเทคนิค remarketing ให้ลูกค้าซื้อง่าย
เคล็ดไม่ลับ! customer journey seo เมื่อผู้เข้าชมแค่เข้าอ่านบทความ seo ของคุณแล้วออกไป แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ซื้อ! แต่ยังมีโอกาสให้พวกเขากลับมาซื้อสูงถึง 70% หากคุณใช้เทคนิค remarketing อย่างถูกวิธี! ซึ่งเทคนิคการทำ remarketing คือ การโฆษณาซ้ำให้กับคนที่เคยเข้าเว็บไซต์มาแล้ว ถือเป็นการทำให้ลูกค้าที่เห็นโฆษณา remarketing มีโอกาสซื้อสูงกว่าลูกค้าใหม่! อีกทั้งยังดีกว่าการยิงโฆษณาไปหาคนที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์คุณมาก่อนและนี่คือภาพรวมวิธีทำ remarketing อย่างมีประสิทธิภาพ! เมื่อผู้อ่านเคยเข้าชมบทความแล้วแต่ยังไม่ซื้อ
- ตั้งค่า facebook pixel และ google remarketing tag
- แสดงโฆษณาเกี่ยวข้องกับบทความที่พวกเขาเคยอ่าน
- สร้างโฆษณาที่ตอบโต้ความกังวลใจที่อาจทำให้พวกเขาไม่ตัดสินใจซื้อ
6.1. การตั้งค่า pixel และ tag อย่างโปรฯ
คุณจะเริ่มติดตั้ง facebook pixel หรือ google tag ก่อนดี? (ทั้งสองอย่างล้วนจำเป็น แต่แนะนำให้เริ่มจากช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้มากที่สุด!)
facebook pixel
- สมัคร facebook business manager และสร้าง pixel (รหัสติดตาม)
- ติดตั้งโค้ด pixel ในทุกหน้าของเว็บไซต์ (ในบทความ seo)
- ตั้งค่า “custom events” เพื่อติดตามการกระทำเฉพาะ เช่น
1. view content : เมื่อมีคนอ่านบทความจนจบ
2. add to cart : เมื่อเพิ่มสินค้าลงตะกร้า
3. initiate checkout : เมื่อเริ่มชำระเงิน
google remarketing tag
- ตั้งค่า google ads account และสร้าง remarketing tag
- ติดตั้งโค้ด tag ในทุกหน้าของเว็บไซต์
- สร้าง custom audiences แยกตามพฤติกรรม
1. คนที่อ่านบทความ seo เฉพาะเรื่อง
2. คนที่เข้าดูหน้าสินค้าแต่ไม่ซื้อ
3. คนที่เริ่มชำระเงินแล้วแต่ทิ้งตะกร้าเอาไว้ ทำให้การซื้อไม่สมบูรณ์!
6.2. สร้างโฆษณาให้เข้าถึงใจกลุ่มเป้าหมายและเกี่ยวข้องกับบทความ seo
- สร้างโฆษณาเฉพาะสำหรับแต่ละบทความ seo
- ทำภาพโฆษณาและข้อความที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับบทความ seo บทนั้น
- แสดงโฆษณานี้เฉพาะกับคนที่อ่านบทความนั้นแล้ว
ตัวอย่างที่ทำให้คุณเห็นภาพ
ถ้าคนอ่านบทความ “วิธีแก้ปัญหาผมร่วง” แต่ยังไม่ซื้อผลิตภัณฑ์ คุณอาจสร้างโฆษณาที่มีข้อความแบบนี้ “ยังกังวลกับปัญหาผมร่วงอยู่ใช่ไหม? ลองดูผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ” แล้วเลือกใช้รูปภาพที่เกี่ยวข้องกับบทความ seo ด้วย จะช่วยให้พวกเขาจำได้ว่าเคยอ่านบทความนี้มาก่อน
6.3. สร้างโฆษณาที่แก้ไขความกังวลใจของลูกค้าที่ขัดขวางการซื้อ
หลักสำคัญของการทำ remarketing คือ การเข้าใจว่าทำไมลูกค้าถึงไม่ซื้อตั้งแต่ครั้งแรก เมื่อคุณตั้งค่า pixel และ tag เรียบร้อยแล้ว สิ่งสำคัญต่อไปคือ การสร้างโฆษณาที่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เข้าชมสนใจ!
คุณจะเลือกสร้างโฆษณาแบบไหน?
โฆษณาที่เน้นปัญหาและความกังวลใจvsโฆษณาที่เน้นผลลัพธ์และความสำเร็จ! ทั้งนี้ ทั้ง 2 แบบใช้ได้ผล! แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะของกลุ่มเป้าหมายของคุณ หากคุณไม่รู้ว่าควรเลือกสร้างโฆษณาแบบไหนดี? อาจลองดูค้นหาความกังวลใจของลูกค้า เพื่อให้ได้ไอเดียในการทำโฆษณา ดังนี้
- ดูคอมเมนต์ในบทความหรือโซเชียลมีเดีย
- วิเคราะห์คำถามที่ลูกค้ามักถามก่อนตัดสินใจซื้อ
- ดูจากข้อมูลว่าลูกค้ามักหยุดอ่านตรงไหนของบทความ?
วิธีแก้ไขความกังวลใจในโฆษณา
ลูกค้าของคุณกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด? ราคา, คุณภาพหรือความรวดเร็ว? เลือกจุดที่เป็นอุปสรรคหลักและปัญหาที่ต้องการได้รับการแก้ไขก่อนหรือคุณเลือก 1 ใน 3 แนวทางนี้เพื่อแก้ไขความกังวลใจหลักของลูกค้า
1. ความกังวลใจเรื่องราคา : เขียนข้อความโฆษณาเกี่ยวกับความคุ้มค่า เช่น “ลงทุนเพียง x บาท แก้ปัญหาได้ทันที เห็นผลยาว 2-3 ปี” หรือเสนอส่วนลดดีลพิเศษ! ที่ห้ามพลาด!
2. ความกังวลใจเรื่องคุณภาพ : โชว์รีวิวจากลูกค้าจริงหรือการันตีไม่ถูกใจคืนเงิน!
3. ความกังวลใจเรื่องความรวดเร็ว : เน้นความง่ายในการใช้งาน เช่น “ใช้เวลาเพียง 5 นาทีต่อวัน”
ตัวอย่างโฆษณาที่แก้ไขความกังวลใจ
- ถ้าสินค้าราคาสูง : “ครีมบำรุงผิวหน้า คุณภาพเกินราคา มอบความสวยให้คุณได้นาน 6-12 เดือน เฉลี่ยวันละแค่ x บาท ไม่ดีจริง! รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน!”
- ถ้าสินค้าต้องใช้ต่อเนื่อง : “ทำไมต้องรอ? ในเมื่อคุณเห็นผลลัพธ์ได้ใน 7 วันและผลิตภัณฑ์นี้มีผู้ใช้ทั่วโลก 95% ที่เห็นผลจริง”
6.4. เทคนิคการทำ remarketing ที่เหนือกว่า
ยิ่งกว่าการทำ remarketing ธรรมดา! คุณสามารถสร้างลำดับการโฆษณา (sequential remarketing) ที่พัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าไปทีละขั้น
สร้างลำดับการโฆษณา (sequential remarketing)
- วันที่ 1-3 : หลังอ่านบทความ โฆษณาให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาและวิธีแก้ไข
- วันที่ 4-7 : โฆษณาที่โชว์รีวิวและผลลัพธ์จากลูกค้าจริง
- วันที่ 8-14 : โฆษณาที่มีข้อเสนอพิเศษหรือส่วนลดเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ!
ปรับเนื้อหาตามระยะเวลา
- ถ้าคนอ่านไม่ซื้อหลังเห็นโฆษณา 2 สัปดาห์ ให้เปลี่ยนข้อความโฆษณาใหม่
- ทดลองใช้เนื้อหาหลายๆ แบบ! หลายๆมุมมอง! ที่มีจุดขายอื่นที่แตกต่าง ซึ่งอาจโดนใจพวกเขาได้มากกว่า
ปรับตามพฤติกรรมการเข้าชม
- คนที่อ่านบทความไปแล้ว 50-80% แต่ไม่จบ อาจมีข้อสงสัยที่ต่างจากคนที่อ่านจบ
- คนที่กลับมาอ่านซ้ำหลายครั้ง แสดงว่าสนใจมาก! ควรทำโฆษณาที่เร่งการตัดสินใจมากขึ้น
ตัวอย่างการทำ remarketing ที่ smart
กรณีศึกษา บทความ seo เรื่อง “วิธีลดน้ำหนัก 5 กิโลใน 1 เดือน” และมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนัก! หรือ “วิธีแก้ปัญหาผิวหน้าแห้งกร้านให้กลับมาชุ่มชื้น” และมีผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้า!
1. ติดตั้ง pixel/tag : ในทุกหน้าของเว็บไซต์ ตั้งค่าให้ติดตามคนเคยอ่านบทความนี้นานกว่า 2 นาที
2. สร้างกลุ่มเป้าหมาย : คนที่เคยอ่านบทความนี้แล้วแต่ไม่เข้าหน้าสั่งซื้อ
3. โฆษณาแก้ความกังวลใจ :
- โฆษณา 1 : “กังวลว่าจะกินยาแล้วไม่ได้ผล? ดูรีวิวจริงจากลูกค้ากว่า 100 คน”
- โฆษณา 2 : “กลัวโยโย่? ผลิตภัณฑ์ xxx ช่วยเซฟหุ่นหลังน้ำหนักลดได้นาน 1 ปี คลายกังวลเรื่อง yoyo”
- โฆษณา 3 : “ลองใช้ฟรี 7 วัน! ถ้าไม่ชอบยินดีคืนเงิน 100%”
- โฆษณา 4 : “กลัวแพ้? เซรั่ม yyy ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดการแพ้และผ่านการทดสอบโดยผู้เชี่ยวชาญผิวหนัง”
- โฆษณา 5 : “ใช้ยี่ห้อไหนก็ไม่เห็นผล? เปิดใจดูรีวิวจากผู้ใช้จริง พร้อมภาพก่อน-หลัง”
customer journey seo กับการสร้างระบบ lead magnet เฉพาะในแต่ละบทความ
แทนที่จะเร่งขายทันที! ลองใช้เทคนิคหวังผลระยะยาวกับการสร้าง lead magnet ให้คุณลองเสนอว่าที่ลูกค้าในอนาคตด้วยการสร้างระบบ lead magnet ในแต่ละบทความดู นี่เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพมาก! ทั้งเก็บข้อมูลลูกค้า, สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวและลดค่าโฆษณา อีกทั้งยังช่วยให้คุณมีฐานลูกค้าไว้ในมือสำหรับสร้างโอกาสขายครั้งต่อไปที่ง่ายกว่า! เมื่อลูกค้ารู้จักคุณแล้ว พวกเขาจะให้ความไว้ใจและกล้าตัดสินใจซื้อกับคุณได้ดีกว่าเดิม!
1. lead magnet การขายที่มีประสิทธิภาพสูง
ค่อยๆ ให้ว่าที่ลูกค้าได้รู้รายละเอียดเพิ่มเติมจากคุณกันไปทีละนิด จะช่วยให้คุณรู้ลึกว่าว่าที่ลูกค้าคนนี้ สนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ! แล้วคุณจะเปลี่ยน lead ให้กลายเป็นลูกค้าได้ในที่สุด! ด้วยเทคนิคแจกของนี้
- checklist ที่ใช้งานได้จริง เช่น “100 checklist ตรวจสอบ seo” สำหรับบทความเกี่ยวกับ seo
- template ที่ใช้ได้ทันที เช่น “skincare routine template” สำหรับบทความเกี่ยวกับการดูแลผิว
- e-book แบบเจาะลึก เช่น “10 สูตรมาส์กหน้าธรรมชาติลดการอักเสบของสิว” สำหรับบทความเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสิว!
2. วิธีทำให้คนยอมแลกข้อมูล
ถ้าคุณอยากลองทำเนื้อหาให้ดาวน์โหลดฟรี! โดยแลกกับข้อมูลติดต่อดู แต่ยังกังวลว่าควรทำยังไงให้เขายอมให้ข้อมูล ลองตามนี้ได้เลย
1. สร้างฟอร์มที่ขอเฉพาะข้อมูลจำเป็น (ชื่อและอีเมลหรือเบอร์โทร ที่ใครๆ ก็ยินดีให้ได้ง่ายๆ)
2. วางปุ่ม cta ในจุดที่เห็นได้ชัดเจนในบทความ
3. ส่งลิงก์ดาวน์โหลดทันทีหลังจากผู้อ่านลงทะเบียน (แต่ อย่าทำให้พวกเขารอ!)
3. การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูล
- ใช้ระบบ utm หรือโค้ดเฉพาะสำหรับแต่ละ lead magnet เพื่อติดตามแหล่งที่มา
- ติดตามว่า lead จากบทความใดที่มีอัตราการเปิดอีเมล, การคลิกลิงก์และการซื้อสินค้าสูงที่สุด!
- วิเคราะห์ว่าเนื้อหาประเภทใดดึงดูดลูกค้าที่มีคุณภาพสูงที่สุด!
4. การนำข้อมูลไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
- จัดกลุ่ม lead ตามความสนใจ (จากบทความที่พวกเขาอ่าน)
- ส่งอีเมลติดตามที่เฉพาะเจาะจงตามความสนใจของพวกเขา
- สร้าง customer journey ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่ม
5. การพัฒนา lead เป็นลูกค้า
- ส่งเนื้อหาที่มีคุณค่าอย่างต่อเนื่อง
- แนะนำสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องเมื่อ lead พร้อม
- สร้างลำดับการติดต่อสื่อสารอัตโนมัติ (email sequence) เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์
สรุป
ทำไมการมองภาพรวมของ customer journey seo จึงสำคัญ! เพราะการที่ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการจากคุณนั้น ไม่ใช่การตัดสินใจแบบจุดเดียว (single touch point) แต่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันในหลายส่วน! ไม่ว่าจะเป็น บทความ seo ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้, หน้าเว็บไซต์ ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ, โซเชียลมีเดีย ช่วยสร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจ, การบริการลูกค้า ช่วยให้เกิดการตัดสินใจซื้อในที่สุด! นอกจากนี้ยังมี เทคนิค remarketing ช่วยเตือนความจำลูกค้าอีกครั้งและแก้ไขความกังวลใจ! และมีอีกหลายๆ เหตุผลที่ลูกค้าเลือกคุณ! ถึงบทความ seo อาจไม่ได้รับเครดิตโดยตรงในการขาย แต่มักเป็น “จุดเริ่มต้นสำคัญ” ที่ทำให้คุณขายดี! และโลกนี้ก็เปลี่ยนไปทุกวัน แค่คุณหยุดจำกัดตัวคุณเองไว้กับกรอบความเชื่อเดิมๆ คุณก็เข้าถึงทุกความเป็นไปได้! ถ้าคุณมองหาผู้ช่วยรับเขียนบทความ seo คุณภาพเกินราคา เพิ่มยอดขายได้จริง เลือก sitetion and seo!